简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ตัวแทนผู้เสียหายที่เคยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกับบริษัทคอยน์ แอสเซท จำกัด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมผู้ก่อตั้งบริษัท Coinasset ชี้แจงถึงกรณีของเหรียญ Jfin ของกลางที่หายจำนวนกว่า 700,000 เหรียญ
ตัวแทนผู้เสียหายที่เคยลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลกับบริษัทคอยน์ แอสเซท จำกัด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา พร้อมผู้ก่อตั้งบริษัท Coinasset ได้โร่แจ้งรายการ ‘สถานีประชาชนไทยพีบีเอส’ ที่ออกอากาศเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมเพื่อชี้แจงถึงกรณีของเหรียญ Jfin ของกลางที่หายจำนวนกว่า 700,000 เหรียญ ตัวแทนผู้เสียหายตั้งข้อสังเกตว่า หลังจากแต่ละคนได้รับอีเมล์ จากบริษัทกฎหมายแห่งหนึ่งที่เข้ามาเป็นคนกลางเพื่อคืนสินทรัพย์ดิจิทัล นับตั้งแต่บริษัทคอยน์ แอสเซท จำกัด ปิดตัวลงไปไปเมื่อปี 2562 ก็ได้ให้แต่ละคนต้องแสดงหลักฐานการเป็นเจ้าของเหรียญ
ผู้เสียหายรายนี้กล่าวว่า เขาได้ส่งหลักฐานต่างๆและยืนยันตัวตน ส่งไปตามที่บริษัทกฎหมายแจ้งหลังจากดำเนินการเสร็จแล้วกลับไม่ได้รับเงินสินทรัพย์คืน จนกระทั่งต่อมาทราบว่าเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายนที่ผ่านมาบริษัทกฎหมายดังกล่าวประกาศยุติบทบาทการเข้ามาดูแลสินทรัพย์ดังกล่าว ทำให้ตัวแทนผู้เสียหายรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ข้อความบางส่วนที่ตัดตอนมาจากคำพูดของผู้เสียหายเล่าว่า : บริษัทกฎหมายได้มีการปฏิเสธการขอรับสินทรัพย์ของผมคืน และได้มีการบอกว่าเหรียญทั้งหมดบริษัทได้ขอคิดเป็นค่าบริการที่เขาดูแล ผมก็เลยบอกว่าคุณจะคิดค่าบริการจากสินทรัพย์ในส่วนตรงนี้ไม่ได้ เพราะสินทรัพย์ดังกล่าวไม่ได้อยู่ในคู่สัญญาของคุณ
คุณไปสัญญากับทางคอยน์ แอสเซทเองว่าคุณจะดูแลเหรียญไว้เพื่อคืนให้กับเจ้าของตัวจริง แต่สุดท้ายคุณไม่ได้คืนมาที่เรา และกลับนำไปหักเป็นค่าบริการ ทางด้านนาย ศิวนัส ยามดี อดีตผู้ก่อตั้งบริษัทคอยน์ แอสเซท จำกัด ได้ออกมายอมรับในความผิดพลาดในอดีตและเล่าถึงสาเหตุที่ปิดตัวไปเมื่อปี 2562 เนื่องจากมีปัญหาภายในบริษัทและส่งผลให้ไม่ได้รับใบอนุญาตจากสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์หรือก.ล.ต ด้วยเหตุนี้ทาง ก.ล.ต จึงได้สั่งให้บริษัทคอยน์ แอสเซทคืนสินทรัพย์ให้กับลูกค้าหรือนักลงทุน ต่อมามีลูกค้ากล่าวว่ายังไม่ได้สินทรัพย์คืนเป็นจำนวนมาก ซึ่งสินทรัพย์ที่ลูกค้าไม่ได้รับคืนเยอะที่สุดนั่นก็คือเหรียญ Jfin Token
ซึ่งทำให้ผู้เสียหายเดินเรื่องฟ้องร้องบริษัท จนกระทั่งเมื่อปี 2563 บริษัทสามารถติดตามเหรียญดิจิทัลคืนมาได้ประมาณ 2 ล้านกว่าเหรียญโทเค็นและได้คืนกันในชั้นศาลโดยส่งมอบให้ทางบริษัทกฎหมายซึ่งเป็นบุคคลที่ 3 รับหน้าที่ดูแลและดำเนินการส่งคืนให้แก่ผู้เสียหาย แต่ทว่าล่าสุดกลับทราบว่า ผู้เสียหายบางส่วนยังไม่ได้รับสินทรัพย์ดังกล่าวคืนจึงขอคำชี้แจงจากบริษัทกฎหมายดังกล่าว และทราบภายหลังว่าได้มีการหักค่าดำเนินการหรือค่าบำเหน็จจากของกลางร้อยละ 10 ทุกเดือน ทั้งนี้นาย ศิวนัส ยามดีได้ออกมากล่าวชี้แจงถึงกรณีดังกล่าวในระหว่างให้สัมภาษณ์กับรายการสถานีประชาชนไทยพีบีเอสว่า : ในสัญญาที่ผมไปคุยกับฝ่ายกฎหมายทุกคนมันไม่ชัดเจนเลย ทนายบางคนยังบอกว่ามันเป็นโมฆะด้วยซ้ำเพราะมันคือสัญญาประนีประนอมไม่ใช่สัญญาจ้างเรื่องแรก
เรื่องที่สองคือต่อให้มันเป็นสัญญาจ้างก็จริง คู่สัญญาก็คือผมกับบริษัทกฎหมาย ดังนั้นเขาจึงต้องมาวางบิลมาเรียกเก็บค่าใช้จ่ายกับผม และไม่มีสิทธิ์ไปหักเงินของกลาง เบื้องต้นทีมข่าวสถานีประชาชนไทยพีบีเอสได้ประสานไปยังตัวแทนบริษัทกฎหมายที่เข้ามาเป็นคนกลางในการคืนสินทรัพย์ดังกล่าวให้กับผู้เสียหายเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ซึ่งบริษัทเล่าว่าได้มีการคืนสินทรัพย์ดิจิทัลให้กับผู้เสียหายที่มีหลักฐานชัดเจนไปแล้วกว่า 20 คนและอ้างว่าเหรียญที่ได้รับมานั้นไม่เพียงพอที่จะคืนให้กับผู้เสียหายทั้งหมด ส่วนการเรียกเก็บค่าดำเนินการบริษัทกฎหมายอ้างว่าเขามีสิทธิ์หักค่าบำเหน็จสินจ้างร้อยละ 10 ทุกเดือน เพราะติดต่อไปยังทางนายศิวนัสไม่ได้ สุดท้ายนี้เราจะคงต้องติดตามดูกันต่อไปว่าเรื่องราวนี้จะจบลงอย่างไร และผู้เสียหายจะได้รับเงินคืนหรือไม่ ซึ่งถือเป็นอีกหนึ่งคดีตัวอย่างที่น่าสนใจสำหรับสินทรัพย์ดิจิทัลที่เกิดขึ้นในบ้านเรา
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
FOREX.com
IC Markets Global
FXTM
FxPro
XM
ATFX
FOREX.com
IC Markets Global
FXTM
FxPro
XM
ATFX
FOREX.com
IC Markets Global
FXTM
FxPro
XM
ATFX
FOREX.com
IC Markets Global
FXTM
FxPro
XM
ATFX