简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:Bollinger Bands เป็น Indicator ที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาวะตลาดการเงิน และถือเป็นเครื่องมือในกลุ่ม "Technical Analysis" ที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในการเทรดในตลาดที่มีแนวโน้ม ซึ่งอิงจากเทคนิคทางสถิติที่เรียกว่า Standard Deviation หรือ "SD" เพื่อสร้าง "Band" หรือกรอบราคาขึ้นมา 2 เส้น ในการวิเคราะห์สภาวะตลาด เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย John Bollinger หนึ่งในนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีชื่อเสียง แนวคิดหลักคือการวัด "ความผันผวน" ของตลาด
วันนี้แอดเหยี่ยวมาพร้อมกับ Indicator ยอดนิยมที่ชื่อว่า Bollinger Bands ซึ่งเป็นหนึ่งในเครื่องมือที่ได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีประโยชน์หลากหลายและสามารถปรับใช้เทคนิคตามสถานการณ์ตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในบทความนี้ แอดเหยี่ยวจะพาไปทำความรู้จักกับสิ่งที่ควรรู้ก่อนเริ่มเทรดด้วย Bollinger Bands ตามมาเลยครับ!
Bollinger Band คือ ?
Bollinger Bands เป็น Indicator ที่ใช้ในการวิเคราะห์สภาวะตลาดการเงิน และถือเป็นเครื่องมือในกลุ่ม “Technical Analysis” ที่ได้รับความนิยม โดยเฉพาะในการเทรดในตลาดที่มีแนวโน้ม ซึ่งอิงจากเทคนิคทางสถิติที่เรียกว่า Standard Deviation หรือ “SD” เพื่อสร้าง “Band” หรือกรอบราคาขึ้นมา 2 เส้น ในการวิเคราะห์สภาวะตลาด
เครื่องมือนี้ถูกพัฒนาขึ้นโดย John Bollinger หนึ่งในนักวิเคราะห์ทางเทคนิคที่มีชื่อเสียง แนวคิดหลักคือการวัด “ความผันผวน” ของตลาด โดยลักษณะต่าง ๆ ของ Band ที่เราจะศึกษาในบทความนี้ สามารถบ่งบอกถึงสภาวะตลาดและพฤติกรรมราคาที่อาจเกิดขึ้นได้ เช่น:
Bollinger Bands ประกอบด้วยเส้นทั้งหมด 3 เส้น โดยเส้นกลางคือ Simple Moving Average (SMA) และอีก 2 เส้นคือ Band ที่สร้างขึ้นจากค่า SD ซึ่งจะหุ้มด้านบนและด้านล่างของเส้น SMA สำหรับท่านที่สนใจ สามารถทดลองใช้ Indicator นี้ได้ทันที เพราะมันมีให้ใช้งานฟรีในแพลตฟอร์มการเทรด MT5
วิธีใช้ Bollinger Bands
การทำความเข้าใจวิธีใช้ Bollinger Bands และการตีความต่าง ๆ นั้นมีความหลากหลายมาก แต่การตีความพื้นฐานมักจะมุ่งเน้นไปที่การสังเกต “การกลับตัวของราคา” หรือที่เรียกว่า Reversal โดยใช้กรอบ Band เป็นตัววัด แนวคิดของเทคนิคนี้คือ ราคาควรไม่ขยับออกห่างจากค่าเฉลี่ยมากเกินไป และจะต้องมีแนวโน้มที่จะกลับตัวในไม่ช้า (Mean Reversion) ดังนั้น ราคาควรมีปฏิกิริยาบางอย่างเมื่อปะทะกับเส้น Band
เส้น Band จะทำหน้าที่ในการสังเกตว่าราคาเกิดพฤติกรรมผิดปกติหรือไม่ เช่น เมื่อราคาปะทะกับเส้น Band แล้วอัตราเร่งของการเคลื่อนไหวลดลง เทรดเดอร์หลายคนมักใช้จังหวะนี้ในการเทรดสวนกลับ โดยมีหลักการดังนี้:
ในการใช้ Bollinger Bands ใน Forex ส่วนใหญ่จะตั้งค่าไว้ที่ (20,2) ซึ่งหมายถึงการใช้ Simple Moving Average 20 แท่งเทียน และคำนวณค่า Standard Deviation ที่ระดับ 2 (ควรศึกษาเพิ่มเติมเกี่ยวกับการคำนวณค่า SD ในแหล่งข้อมูลการเรียนรู้ทางคณิตศาสตร์) ตัว Band ที่สร้างจากค่า SD นอกจากจะใช้ในการสังเกตการกลับตัวของราคาแล้ว ยังสามารถบ่งบอกสภาวะตลาดโดยรวมได้
กรอบ Band เป็นตัวแทนของความผันผวน หาก Band ขยายกว้างขึ้น จะหมายถึงตลาดมีความผันผวนมากขึ้น ในทางตรงกันข้าม หาก Band บีบตัวแคบ ก็จะหมายถึงตลาดมีความผันผวนน้อยหรือมีการเคลื่อนไหวที่ไม่รุนแรง การเข้าใจความผันผวนจะช่วยให้เราสามารถเทรดตามแนวโน้มได้ดียิ่งขึ้น โดยมีข้อสรุปดังนี้:
วิธีใช้ Bollinger Bands ที่มีประสิทธิภาพคือการเข้าใจลักษณะพื้นฐานของสินค้านั้น ๆ เช่น ถ้าคุณเป็นนักลงทุนที่ชื่นชอบการเล่นหุ้นมากกว่าสินค้าอื่น ๆ คุณจะมีโอกาสใช้เทคนิค “Band บีบตัวแคบ” มากกว่า หุ้นมหาชนหลายตัวมักเคลื่อนไหวเป็นแนวโน้มในระยะยาว ดังนั้นนักลงทุนมักรอจังหวะเข้าไปสะสมหุ้นในช่วงที่เกิดการพักตัวของราคาและกรอบ Band บีบตัวแคบ
ในทางกลับกัน หากคุณเป็นเทรดเดอร์ที่ชื่นชอบการเทรดสินค้าที่มีรอบการเทรดถี่ ๆ หรือมีความผันผวนสูง เช่น กราฟราคาทอง (การเทรดทองออนไลน์) หรือค่าเงิน GBP เทรดเดอร์มักจะใช้แนวคิดเรื่อง “Band ขยายกว้าง” มากกว่า เทคนิคหลัก ๆ ที่นิยมได้แก่การเทรด Scalping สวนทางกลับมาเมื่อราคาปะทะเส้น Band
ทั้งหมดข้างต้นคือแนวคิดพื้นฐานในการใช้ Bollinger Bands ในตลาดต่าง ๆ สำหรับ Bollinger Bands ใน Forex จะนิยมใช้ Indicator นี้ในการ Scalping เมื่อราคาปะทะกรอบ Band หรือเทคนิคในเรื่อง “Band ขยายกว้าง” อย่างไรก็ตาม การเทรดแบบ Scalping ต้องการการฝึกฝนพอสมควร ดังนั้นสำหรับมือใหม่ควรทดลองในบัญชีทดลองเทรดหรือ Demo Account ก่อนเพื่อดูว่าเทคนิคนั้นสามารถใช้ได้จริงในตลาดหรือไม่
ในตลาด Forex Bollinger Band คืออะไร
Volatility: ความผันผวน
แนวคิดหลักของ Bollinger Bands คือการเป็น Indicator ที่ใช้วัดความผันผวนหรือความแรงในการเหวี่ยงของตลาด โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรอบ Band ที่สร้างจากค่า Standard Deviation (SD) จะทำหน้าที่เป็นตัววัดว่าราคาได้วิ่งออกมาจากจุดกึ่งกลางมากน้อยเพียงใด หากราคาวิ่งออกจากเส้นกลางมาก ๆ ก็หมายความว่าราคามีความผันผวนสูง
การใช้ Dynamic Bollinger Bands (DBB) จะช่วยให้การวัดความผันผวนเป็นไปได้ง่ายขึ้น โดยมีการอธิบายถึงระดับความผันผวนดังนี้:
คำศัพท์ที่ใช้เรียกอย่างเป็นทางการในกรณีนี้คือ Volatility Expansion หรือความผันผวนขยายตัว ในทางกลับกัน หากราคามีการบีบตัวแคบและแสดงถึงความผันผวนน้อยลง เราจะเรียกว่า Volatility Contraction
ขอบคุณรูปจาก Admirals
จากกราฟ GBP/JPY ณ จุดที่ 1 ที่ลูกศรสีน้ำเงินกำลังชี้อยู่นั้น แสดงช่วงที่ราคามีความผันผวนน้อย หรือที่เรียกว่า Volatility Contraction โดย Bollinger Bands จะบีบตัวแคบลง ดังนั้น การทะลุกรอบ Band และไปต่อในทิศทางเดิม จะสามารถทำได้ง่ายกว่า ดังนั้น จุดที่เกิดลักษณะ Band บีบตัว จึงเหมาะกับการใช้กลยุทธิ์แบบ Breakout ทั้งจุด 1, 2 และจุดที่ 3
ขอบคุณรูปจาก Admirals
วิธีวัดลักษณะของ Volatility
ในปัจจุบัน การเทรดในตลาดทองคำมีแนวโน้มที่จะผันผวนอย่างรุนแรงมากขึ้น ซึ่งเรามักพบลักษณะของ Band ขยายตัว หรือ Volatility Expansion อยู่บ่อยครั้งในตลาดทองคำและค่าเงินต่าง ๆ โดยตามที่ได้อธิบายไว้ก่อนหน้านี้ การเทรดในลักษณะนี้เหมาะกับกลยุทธ์แบบ “เทรดสวนทาง” กลับเข้าหาจุดกึ่งกลาง เนื่องจากการ Breakout ในทิศทางเดิมมักทำได้ยากกว่า
ลักษณะของ Volatility นี้มีผลต่อกลยุทธ์ที่เราใช้ในการเทรด แต่ถ้าเราต้องเทรดหลาย ๆ สินค้าในเวลาเดียวกัน การใช้เพียง Bollinger Bands อาจทำให้เราพลาดโอกาสได้ง่าย ดังนั้น เราจึงควรใช้เครื่องมืออื่น ๆ มาช่วยในการตรวจสอบลักษณะของความผันผวน ในที่นี้เราจะใช้ Keltner Channel โดยมีการตั้งค่าดังนี้:
Keltner Channels จะทำหน้าที่เป็นเครื่องมือที่สร้างกรอบ Band ขึ้นมาในลักษณะเดียวกันกับ Bollinger Bands แต่จะมีการคำนวณบนฐานของเครื่องมือที่เรียกว่า Average True Range (ATR) ซึ่งจะเสริมความแม่นยำในการวัดความผันผวน โดยเส้นกึ่งกลางโดยทั่วไปจะตั้งค่าไว้เป็น Exponential Moving Average (EMA) ซึ่งแตกต่างจาก Bollinger Bands ที่มักตั้งค่าไว้เป็น Simple Moving Average (SMA) แม้ความแตกต่างระหว่างสองวิธีนี้จะไม่มากนัก แต่เราจะใช้ Keltner Channels เป็นตัวช่วยกรองความผันผวนที่เกิดขึ้นในตลาด
ขอบคุณรูปจาก Admirals
ในภาพด้านล่าง จะตั้งค่า Bollinger Band ให้เป็นสีเขียว และตั้ง Keltner Channel เป็นสีแดง ซึ่งจะสังเกตเห็นได้ว่า Keltner ที่มีฐานการคำนวณจาก ATR และ EMA จะมีการเคลื่อนไหวที่เร็วและสอดคล้องกับราคามากกว่า และกรอบจะแคบกว่า ทั้งนี้ เราจะอาศัยการตัดกันระหว่าง Bollinger Bands และ Keltner ในการแบ่งโซนของความผันผวน
ขอบคุณรูปจาก Admirals
Band บีบตัว : Volatility Contraction
การใช้ Bollinger Band ใช้คู่กับ Keltner Channels จะเป็นเพียง Indicator ในการอธิบายลักษณะของความผันผวนเท่านั้น ซึ่งลักษณะของความผันผวนจะส่งผลต่อกลยุทธ์ที่คุณจะเลือกใช้ ซึ่งจังหวะการเข้าเทรดหลังจากที่สามารถระบุ Volatility ได้แล้วนั้น ลองศึกษาจากตัวอย่างด้านล่าง
ขอบคุณรูปจาก Admirals
ขอบคุณรูปจาก Admirals
ในตัวอย่างข้างต้น ในลองสังเกตจังหวะที่ 3 ที่เขียนคำว่า “No Entry” ไว้ ก็คือตามระบบนี้จะเข้าเทรดไม่ได้ เพราะแม้จะมีการตัดกันของเส้น Band ก็ตาม แต่ตัวกราฟแทงเทียนไม่สามารถปิดออกไปอยู่นอก Bollinger Band ได้
กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความชำนาญและความละเอียดในการวาง Money Management พอสมควร จากภาพเดิม จะสังเกตได้ว่า จังหวะที่เข้า Buy เราสามารถทำกำไรได้ง่ายๆ แต่จังหวะที่ 2 การเข้า Buy ในครั้งนี้ ราคากลับไม่ไปต่อ ซึ่งเราต้องตัดขาดทุน Stop Loss ไว้ที่แนว Pivot Point
บทสรุปเกี่ยวกับ Bollinger Bands พร้อมเทคนิคและวิธีการใช้งาน
Bollinger Bands เป็นเครื่องมือที่ใช้วัดความผันผวนของราคา ซึ่งได้มีการพัฒนาขึ้นมาหลายปีแล้ว โดยที่มีการสร้างขึ้นในยุคที่ตลาดยังไม่มีความผันผวนสูงเท่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
ในช่วงเริ่มต้น เทคนิคการใช้ Bollinger Bands ที่นิยมและได้รับการเผยแพร่ในหนังสือมักเน้นไปที่แนวคิด “Band บีบตัว” ซึ่งถูกใช้เพื่อสังเกต “การพักตัว” ของราคา ทำให้หลายเทคนิคที่พัฒนาขึ้นจึงมีพื้นฐานอยู่บนสินค้าประเภทหุ้น โดยเฉพาะในเรื่องการเทรดตามแนวโน้ม เช่น:
นอกจากนี้ Bollinger Bands มีความยืดหยุ่นสูง ซึ่งสามารถประยุกต์ใช้งานได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด ไม่จำเป็นต้องยึดติดกับตำราเสมอไป โดยเส้น Band สามารถทำหน้าที่เป็นสัญญาณการเทรดได้โดยตรง หรือสามารถใช้กราฟแท่งเทียนมาช่วยยืนยันการตัดสินใจก็ได้
ท้ายที่สุด ต้องยอมรับว่า Bollinger Bands ถือเป็นหนึ่งใน Indicator Forex ที่ดีที่สุดในตลาดการเทรดปัจจุบัน
ขอบคุณข้อมูลจาก Admirals
อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4
คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
กฎของ 72 เป็นสูตรที่เรียบง่าย แต่มีประโยชน์มากสำหรับนักลงทุนที่อยากรู้ว่าเงินลงทุนจะเพิ่มขึ้นเป็น สองเท่า ภายในเวลากี่ปี ด้วยอัตราผลตอบแทนรายปีที่กำหนด หรือหากนักเทรดรู้ระยะเวลาที่เงินจะเพิ่มเป็นสองเท่าแล้ว กฎนี้ยังช่วยคำนวณอัตราผลตอบแทนเฉลี่ยที่คุณต้องการได้ด้วย
พีระมิดการลงทุนไม่เพียงแต่ช่วยลดความเสี่ยง แต่ยังสร้างสมดุลให้พอร์ตการลงทุนได้อย่างยั่งยืน หัวใจสำคัญคือการวางแผนและจัดการพอร์ตให้เหมาะสมกับเป้าหมาย พร้อมทั้งศึกษาและเข้าใจสินทรัพย์แต่ละประเภทอย่างลึกซึ้ง
บทวิเคราะห์ทองคำ
แม้ว่า Bitcoin และ Ethereum จะใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนและมีแนวคิดแบบกระจายศูนย์เหมือนกัน แต่พวกมันถูกสร้างขึ้นมาเพื่อเป้าหมายที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง Bitcoin ถูกออกแบบมาให้เป็นทางเลือกแทนเงินสดหรือทองคำในโลกดิจิทัล มันมีโครงสร้างที่เรียบง่ายและมุ่งเน้นการเป็นแหล่งเก็บมูลค่า ในทางกลับกัน Ethereum เป็นแพลตฟอร์มที่มีความยืดหยุ่นสูง ใช้สำหรับพัฒนาแอปพลิเคชัน เช่น DeFi (การเงินแบบกระจายศูนย์), NFT (สินทรัพย์ดิจิทัลที่ไม่ซ้ำกัน) และการใช้งานอื่น ๆ ในโลก Web3 การที่ Ethereum สามารถรองรับการเขียนโค้ดในธุรกรรมได้ ทำให้มันกลายเป็น "บล็อกเชนสำหรับนักพัฒนา" และมีความเร็วในการทำธุรกรรมที่เหนือกว่า
EC Markets
FP Markets
FBS
TMGM
HFM
Octa
EC Markets
FP Markets
FBS
TMGM
HFM
Octa
EC Markets
FP Markets
FBS
TMGM
HFM
Octa
EC Markets
FP Markets
FBS
TMGM
HFM
Octa