การเลือกตั้งสหรัฐฯ และการประชุม Fed โอกาสครั้งประวัติศาสตร์ vs. ความเสี่ยงระดับนิวเคลียร์

เมื่อแปดปีก่อน เขาเป็นม้ามืดที่เอาชนะคู่แข่งจากพรรคเดโมแครต ฮิลลารี คลินตัน ขึ้นเป็นประธานาธิบดีคนที่ 45 ของสหรัฐฯ ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์พุ่งสูงและทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกสั่นสะเทือน สี่ปีต่อมา เขาลงสมัครเลือกตั้งอีกครั้งแต่พ่ายแพ้ และออกจากทำเนียบขาวด้วยคำพูดว่า “วิธีที่เราจากไปคือวิธีที่เราจะกลับมา” ในช่วงหลายปีที่ผ่านมานับจากนั้น อดีตประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยังคงได้รับความนิยม ได้เดินทางไปทั่วและสัญญาว่าจะทำตามคำมั่นเดิม ขณะที่การนับถอยหลังสู่การเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ครั้งที่ 60 เริ่มขึ้น ชายผู้เคยทำให้ตลาดการเงินทั่วโลกต้องสั่นสะเทือนก็กลับมาอยู่ในจุดสนใจอีกครั้ง

พรุ่งนี้ 5 พฤศจิกายน 2024 การลงคะแนนเลือกตั้งในสหรัฐฯ จะเริ่มขึ้นอย่างเป็นทางการ โดยคาดว่าผลการเลือกตั้งจะออกมาในช่วงเย็นของวันที่ 6 พฤศจิกายน การต่อสู้ระหว่างพรรครีพับลิกันและพรรคเดโมแครตที่ยาวนานนี้กำลังเข้าสู่ช่วงสุดท้าย ซึ่งเป็นเหตุการณ์ที่กระตุ้นและทำให้นักลงทุนในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ (forex) ต่างจับตาอย่างใกล้ชิด

แม้ว่าหลายคนจะมุ่งความสนใจไปที่ตำแหน่งประธานาธิบดี แต่รายละเอียดสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือการเลือกตั้งครั้งนี้ยังครอบคลุมถึงการชิงตำแหน่ง 468 ที่นั่งในสภาคองเกรส (33 ที่นั่งในวุฒิสภา และ 435 ที่นั่งในสภาผู้แทนราษฎร) อีกด้วย พรรคที่ชนะจะสามารถคว้าชัยชนะอย่างถล่มทลายและครองเสียงข้างมากทั้งสองสภาได้หรือไม่ หรือเราจะต้องเผชิญกับ “รัฐบาลแบ่งแยก”? นี่คือประเด็นสำคัญที่นักเทรด forex ควรจับตาเป็นพิเศษ

สิ่งที่ทำให้ช่วงเวลานี้ตึงเครียดยิ่งขึ้นไปอีกคือการประชุมเพื่อกำหนดอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) ในเดือนพฤศจิกายน ซึ่งจะเกิดขึ้นทันทีหลังการเลือกตั้ง จะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยหรือไม่? หากลด จะลดลง 50 จุดพื้นฐานหรือ 25? ในค่ำวันที่ 7 พฤศจิกายน ธนาคารกลางสหรัฐฯ จะนำเสนอข้อมูลทางการเงินที่สำคัญสู่ตลาด สัปดาห์นี้จึงถือเป็นโอกาสทางการตลาดที่ยิ่งใหญ่พร้อมกับความเสี่ยงระดับสูงสำหรับนักลงทุน

การเลือกตั้งสหรัฐฯ

บทความนี้จะมุ่งเน้นเฉพาะผลกระทบจากการเลือกตั้งต่อการเงินและตลาด ไม่ลงลึกเรื่องการคาดการณ์ทางการเมืองหรือการวิเคราะห์เชิงการเมือง

สหรัฐฯ ใช้ระบบการเมืองสองพรรค โดยการเลือกตั้งจะเป็นตัวชี้ขาดตำแหน่งประธานาธิบดี พรรครีพับลิกันของทรัมป์มักเน้นนโยบายดั้งเดิมของอเมริกา โดยเป็นตัวแทนของชนชั้นกลางระดับสูง เน้นประเด็นในประเทศมากกว่า และใช้นโยบายที่เน้นการเสริมความแข็งแกร่งให้ค่าเงินดอลลาร์ ผ่านการลดภาษีภายในประเทศและการตั้งกำแพงภาษีในต่างประเทศ ในขณะที่แฮร์ริส ซึ่งลงสมัครแทน “ตัวแทนของไบเดน” เป็นตัวแทนจากพรรคเดโมแครต ซึ่งมักเป็นตัวแทนของชนชั้นกลางและชนชั้นล่าง โดยมีแนวทางที่มุ่งเน้นบทบาทในระดับสากลและแนวทางที่หลากหลายมากขึ้น

บทบาทของเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ในฐานะเสาหลักของตลาดการเงินโลกที่สามารถเปลี่ยนแปลงตลาดทั้งระบบเป็นที่รู้จักกันดี แม้ว่าในทางทฤษฎี ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) จะเป็นอิสระ แต่ประธานาธิบดีก็สามารถมีอิทธิพลต่อค่าเงินดอลลาร์ได้ผ่านนโยบายการคลังและการค้า ดังนั้นสำหรับผู้เข้าร่วมในตลาด forex และตลาดหุ้น การเข้าใจถึงแนวโน้มของทรัมป์และแฮร์ริสเกี่ยวกับค่าเงินดอลลาร์และนโยบายการคลังอาจช่วยให้เห็นแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์ในอนาคต

ผลกระทบของผลการเลือกตั้งต่อหลักทรัพย์สำคัญ

ชัยชนะของพรรครีพับลิกัน (“คลื่นสีแดง”) โดยทรัมป์เป็นผู้นำ: หากทรัมป์ชนะการเลือกตั้งและพรรครีพับลิกันสามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภา การขยายตัวทางการคลังและการลดภาษีที่ทรัมป์เน้นจะช่วยสนับสนุนการเติบโตทางเศรษฐกิจของสหรัฐฯ ซึ่งจะเป็นผลดีต่อค่าเงินดอลลาร์ นอกจากนี้ นโยบายการคลังที่แข็งแกร่งขึ้นอาจนำไปสู่การใช้จ่ายและเงินเฟ้อที่สูงขึ้น ส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยมีแนวโน้มที่จะอยู่ในระดับสูงต่อไป ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งของค่าเงินดอลลาร์

นโยบาย “America First” ของทรัมป์ยังครอบคลุมถึงนโยบายการค้า ซึ่งอาจรวมถึงการปรับเพิ่มภาษีศุลกากรนำเข้าสินค้าจากประเทศในเอเชียให้สูงถึง 60% หรือมากกว่า หากแผนนี้เป็นจริง ความเสี่ยงด้านการค้าโลกอาจสูงขึ้น ทำให้นักลงทุนหันมาพึ่งพาความปลอดภัยของดอลลาร์ในช่วงที่ความตึงเครียดการค้าโลกเพิ่มขึ้น หากทรัมป์ได้รับตำแหน่งประธานาธิบดีและพรรครีพับลิกันได้ครองเสียงข้างมากในรัฐสภา ค่าเงินดอลลาร์อาจแข็งตัวในระยะยาว ขณะที่สินทรัพย์นอกสหรัฐฯ เช่น ยูโรและทองคำ อาจอ่อนตัวลง นโยบายของทรัมป์อาจเป็นประโยชน์ต่อหุ้นสหรัฐฯ โดยดัชนีสำคัญ เช่น S&P 500, ดาวโจนส์ และ Nasdaq อาจได้ประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้

ชัยชนะของพรรคเดโมแครต (“คลื่นสีน้ำเงิน”) โดยแฮร์ริสเป็นผู้นำ: หากแฮร์ริสชนะการเลือกตั้ง เธอน่าจะสานต่อนโยบายของไบเดน นักวิเคราะห์คาดว่าแฮร์ริสจะคงนโยบายการคลังที่ค่อนข้างระมัดระวังและนโยบายการค้าที่มีอยู่ ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และทำให้ค่าเงินดอลลาร์อ่อนตัวลง

พรรคเดโมแครตมักมีท่าทีเชิงรุกด้านนโยบายต่างประเทศ โดยเฉพาะในภูมิภาคยุโรปตะวันออกและตะวันออกกลาง ซึ่งอาจสร้างสภาวะที่ไม่เอื้ออำนวยต่อการค้าโลก และอาจส่งผลเสียต่อการเติบโตระยะยาวของค่าเงินดอลลาร์ ชัยชนะของพรรคเดโมแครตทั้งในการเลือกตั้งประธานาธิบดีและรัฐสภา อาจนำไปสู่ค่าเงินดอลลาร์ที่อ่อนตัวลง ทำให้สินทรัพย์อย่างยูโรและทองคำมีมูลค่าสูงขึ้น

รัฐบาลแบ่งแยก (Divided Government)

หากพรรคที่ชนะไม่สามารถครองเสียงข้างมากในรัฐสภา ส่งผลให้เกิดรัฐบาลแบ่งแยก อาจทำให้เกิดภาวะชะงักงันทางนโยบาย สหรัฐฯ มีประวัติด้าน “การทะเลาะกันทางการเมือง” ที่มักนำไปสู่การประนีประนอม นักวิเคราะห์เตือนว่าไม่ควรประเมินผลกระทบของรัฐบาลแบ่งแยกต่ำเกินไป เนื่องจากภาวะนี้อาจส่งผลกระทบต่อค่าเงินดอลลาร์ในระยะสั้น โดยการฟื้นตัวของค่าเงินอาจมีขีดจำกัดและเป็นไปตามนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ

การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed)

หากการเลือกตั้งสหรัฐฯ ดึงดูดความสนใจในตลาด forex จนถึงระดับสูงสุดของปี การตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ Fed ในวันที่ 7 พฤศจิกายนนี้อาจทำให้ตลาดยิ่งร้อนแรงขึ้น โดยการตัดสินใจครั้งนี้เกิดขึ้นหลังจากมีการเผยแพร่ข้อมูลเศรษฐกิจสำคัญ 2 รายการ ได้แก่ ข้อมูล PCE (ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล) ประจำเดือนกันยายน และรายงานการจ้างงานนอกภาคเกษตร (Non-Farm Payrolls) ประจำเดือนตุลาคม ซึ่งเป็นตัวบ่งชี้สำคัญต่อแนวนโยบายของ Fed

นักเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า Fed จะลดอัตราดอกเบี้ยลง 25 จุดพื้นฐาน ทำให้อัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 4.5%-4.75% แม้ข้อมูล PCE และการจ้างงานจะมีส่วนสำคัญในการตัดสินใจ แต่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่เชื่อว่าข้อมูลเหล่านี้จะไม่ทำให้ทิศทางของ Fed เปลี่ยนไป

Luzzetti จาก Deutsche Bank ชี้ว่าเจ้าหน้าที่ Fed ส่วนใหญ่สนับสนุนการลดอัตราดอกเบี้ยแบบระมัดระวัง ขณะที่ Tim Duy จาก SGH Macro Advisors เห็นด้วยกับแนวทางนี้ ในขณะนี้ ตลาดได้มีการปรับตัวรองรับการลดอัตราดอกเบี้ย 25 จุดพื้นฐานไปแล้ว โดยความน่าจะเป็นของการลดอัตราดอกเบี้ยนี้อยู่ที่ 95.7%

สำหรับนักลงทุนในตลาด forex การติดตามขนาดการลดอัตราดอกเบี้ยของ Fed การตอบสนองของ Fed ต่อผลการเลือกตั้ง และน้ำเสียงของประธาน Jerome Powell เกี่ยวกับมุมมองเศรษฐกิจและนโยบายการเงิน จะเป็นกุญแจสำคัญในการประเมินแนวโน้มค่าเงินดอลลาร์และสินทรัพย์อื่นๆ

โอกาสในการลงทุน Forex ที่คว้ากำไร

การเลือกตั้งสหรัฐฯ และการตัดสินใจเรื่องอัตราดอกเบี้ยของ Fed ที่กำลังจะมาถึงนี้ จะสร้างโอกาสการลงทุนที่ไม่เคยมีมาก่อนในตลาด forex, โลหะ, พลังงาน และตลาดหุ้น สำหรับนักลงทุน forex ทั่วไป นี่เป็นโอกาสพิเศษในการสร้างความมั่งคั่ง ซึ่งต้องเตรียมความพร้อมทั้งในด้านเงินทุน จิตวิทยา และเทคนิคการเทรดอย่างรอบคอบ

สินทรัพย์ที่นักลงทุนควรให้ความสำคัญ: ตัวเลือกที่แนะนำมากที่สุดคือการลงทุนใน forex โดยเฉพาะคู่ EUR/USD ซึ่งเป็นคู่สกุลเงินที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในโลก นอกจากนี้ คู่เงินดอลลาร์สหรัฐฯ อื่น ๆ เช่น JPY, GBP, CHF, AUD และ CAD ก็น่าติดตามเช่นกัน รองลงมาคือทองคำ ซึ่งยังคงเป็นการลงทุนที่น่าสนใจเนื่องจากมีความผันผวนสูง นักเทรดที่มีประสบการณ์อาจพิจารณาลงทุนในดัชนีสหรัฐฯ และเอเชีย เช่น S&P 500, DAX, Hang Seng และ A50 ด้วยเช่นกัน

การเตือนความเสี่ยงสำหรับนักลงทุน: แม้โอกาสในการทำกำไรจะมีมาก แต่อย่าลืมว่าความเสี่ยงที่มาพร้อมกับโอกาสนี้ก็สูงเช่นกัน นอกจากความไม่แน่นอนของตลาดแล้ว อีกความเสี่ยงสำคัญคือการหลอกลวงจากแพลตฟอร์ม forex โดยเฉพาะในช่วงเหตุการณ์สำคัญ เช่น การเลือกตั้งสหรัฐฯ หรือการตัดสินใจของ Fed หลายแพลตฟอร์มที่ไม่ได้รับการควบคุมมักใช้สื่อสังคมออนไลน์และวิดีโอสั้นเพื่อโอ้อวดผลกำไร เพื่อดึงดูดนักลงทุนให้ตกเป็นเหยื่อของกลโกง “pig slaughtering” ใน forex แม้แต่แพลตฟอร์มที่มีการควบคุมบางแห่งก็อาจใช้การโฆษณาที่บิดเบือน สัญญาณการซื้อขายที่เกินจริง หรือแม้กระทั่งการทำให้เกิดการเรียกหลักประกันโดยเจตนาและการหยุดการซื้อขายเพื่อสร้างความเสียหายแก่นักลงทุน

อ่านข่าวสาร Forex ทั่วโลกเพิ่มเติมคลิกเลย :https://www.wikifx.com/th/original.html?source=tso4

คุณสามารถตรวจสอบใบอนุญาตโบรกเกอร์ Forex และอ่านรีวิวข้อมูลต่าง ๆ ได้ง่าย ๆ ผ่านแอป WikiFX เพียงแค่ไปค้นหาชื่อก็เจอข้อมูล ใครที่อยากได้ความรู้ เทคนิค กลยุทธ์การเทรด หรือการวิเคราะห์แนวโน้มตลาด ก็สามารถเข้ามาอ่านได้ อีกทั้งยังมีบริการ EA VPS บนแอป WikiFX อีกด้วย แอปเดียวที่จบครบเรื่อง Forex ดาวน์โหลดฟรี โหลดเลยตอนนี้จะพลาดได้ไง!