简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:กว่าอีเธอเรียมจะเติบโตในเชิงของมูลค่าตลาดขึ้นมาเทียบเท่าบิทคอยน์ได้ ยังต้องใช้เวลา แต่หากมองในเชิงของความคิดสร้างสรรค์หรือการต่อยอด ตอนนี้ต้องยอมรับว่าอีเธอเรียมถือเป็นเหรียญที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
จากวันที่บิทคอยน์ถูกสร้างขึ้นในปี 2009 มาจนถึงวันนี้ปี 2021 เชื่อหรือไม่ว่าตอนนี้เรามีสกุลเงินดิจิทัลมากถึง 10,332 สกุลเงินแล้ว นอกจากบิทคอยน์ที่ทำหน้าที่เปรียบเสมือนทองคำของโลกดิจิทัล เรายังมีอีเธอเรียมที่ทำหน้าที่เป็นเหมือนแพลตฟอร์มผู้ก่อให้เกิดการต่อยอดในโลกคริปโตฯ จนกลายเป็นสิ่งที่เรียกว่า DeFi ในปัจจุบัน หรือแม้แต่สายเน้นศรัทธาไม่เน้นมูลค่า หลักการณ์และเหตุผลใดๆ โลกคริปโตฯ ก็มีเหรียญอย่างโดจคอยน์เอาไว้ให้คุณได้ลองลงทุนรับความเสี่ยงเล่นๆ
จุดกำเนิดของบิทคอยน์เริ่มต้นมาจากคนหรือกลุ่มคนที่ใช้นามแฝงว่า ‘ซาโตชิ นากาโมโตะ’ ต้องการปลดแอกระบบการเงินออกจากภาครัฐ เขามีแนวคิดว่าการปล่อยให้อำนาจการควบคุมเงินอยู่ที่ภาครัฐเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง และควรเป็นเจตจำนงเสรีของแต่ละบุคคลที่ต้องการแลกเปลี่ยนเงินตรากันโดยไม่มีตัวกลางมาควบคุม ดังนั้นเขาจึงสร้างสกุลเงินกลางขึ้นมาบนระบบบล็อกเชนที่จะให้คนในระบบสามารถตรวจสอบการทำธุรกรรมกันเอง โอนบิทคอยน์ที่เป็นตัวแทนของการแลกเปลี่ยนมูลค่าระหว่างกันเอง โดยที่ไม่มีคนกลาง (อย่างเช่นธนาคารกลาง) เข้ามาควบคุม
และเพื่อต่อต้านความสามารถในการพิมพ์เงินอย่างไร้ขีดจำกัดของธนาคารกลาง ซาโตชิจึงได้กำหนดให้บิทคอยน์มีเหรียญอยู่ในระบบเพียง 21 ล้านเหรียญเท่านั้น มีความสามารถในการย่อยเหรียญตัวเองให้มีจำนวนลดลงเมื่อเหรียญถูกขุดมากขึ้น จากที่มีการคำนวณ การแบ่งเหรียญครั้งถัดไปจะเกิดขึ้นในปี 2024 การที่บิทคอยน์มีจำนวนจำกัดจึงทำให้มันกลายเป็นสินทรัพย์ที่จะมีมูลค่าเมื่อปริมาณลดลง และนั่นคือสิ่งที่บิทคอยน์กำลังเป็นอยู่ในปัจจุบัน ว่ากันว่าตอนนี้เหรียญบิทคอยน์ที่มีอยู่ในระบบได้ถูกขุดออกมาแล้วประมาณ 90% หรือคิดเป็น 18.6 ล้านเหรียญบิทคอยน์
สำหรับอีเธอเรียมนั้นมีเป้าหมายการใช้งานที่ต่างจากบิทคอยน์โดยสิ้นเชิง อีเธอเรียมไม่ต้องการเป็นสกุลเงินกลางตัวใหม่ของโลก แต่ต้องการเป็นพื้นที่แพลตฟอร์มที่เปิดให้คนที่สนใจในโลกสกุลเงินดิจิทัลมาต่อยอด สร้างสรรระบบการเงินบนแพลตฟอร์มของอีเธอเรียม แม้แต่รูปแบบการเกิดมาของเหรียญระหว่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมก็ยังต่างกัน บิทคอยน์ใช้สิ่งที่เรียกว่า “Proof of Work (PoW)” เป็นแหล่งกำเนิดเหรียญ ในขณะที่อีเธอเรียมใช้ “Proof of Stake (PoS)”
อันที่จริง การเติบโตของอีเธอเรียมมีบทบาทกับโลกคริปโตมาโดยตลอด ในปี 2017 ตอนที่บิทคอยน์กำลังทะยานขึ้นสู่ $20,000 ในตอนนี้คนก็ใช้แพลตฟอร์มของอีเธอเรียมในการทำ ICO หรือการให้คนมาถือเหรียญของตนเหมือนกับการถือหุ้น และในปี 2021 นี้ อีเธอเรียมก็ได้เปิดประสบการณ์การลงทุนในโลกดิจิทัลแบบใหม่ เมื่อเราสามารถ ฝาก กู้ ยืม ทำธุรกรรมได้เหมือนกับโลกปกติในโลกที่มีชื่อว่า “Decentralized Finance (DeFi)”
เชื่อว่าเล่ามาถึงตรงนี้หลายคนคงจะเห็นภาพกันแล้วว่าอีเธอเรียมยังมีโอกาสเติบโตไปได้อีกมากในโลกอนาคต ในขณะที่บิทคอยน์ทำหน้าที่เป็นเพียงสกุลเงินกลางที่นอกจากเก็บรักษามูลค่าแล้ว ก็ไม่สามารถทำอะไรเพิ่มได้อีก แต่สำหรับอีเธอเรียมนั้นกลับยังสามารถต่อยอดในโลกของสกุลเงินดิจิทัลได้อีกไกล อย่างเช่นที่เราได้เห็นการเติบโตของโลก DeFi ในทุกวันนี้
หากยังเป็นเช่นนี้ต่อไป ผมเชื่อว่าอีกไม่นานอีเธอเรียมจะต้องสามารถกินส่วนแบ่งทางการตลาดจากบิทคอยน์มาได้มากยิ่งขึ้น เพราะในขณะที่บิทคอยน์ยังคงอยู่ที่เดิม แต่อีเธอเรียมกลับเปิดพื้นที่ให้กับความคิดสร้างสรร และนวัตกรรมในโลกทางการเงิน หรือการใช้บล็อกเชนในรูปแบบใหม่ๆ มากมาย
ยิ่งวงการ DeFi เติบโตมากเท่าไหร่ บทบาทของอีเธอเรียมก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น หากว่าสุดท้ายแล้วคริปโตเคอเรนซี่สามารถเข้ามาแทนที่สิ่งที่โลกการเงินในรูปแบบเดิมๆ สามารถทำได้ อีเธอเรียมก็จะกลายเป็นผู้ครองโลกและยกระดับวงการคริปโตฯ ให้ขึ้นไปอีกขั้น ถึงแม้ว่าอีเธอเรียมจะเกิดมาหลังบิทคอยน์ มีประวัติศาสตร์น้อยกว่า แต่ในแง่ของการต่อยอดต้องยอมรับว่าอีเธอเรียมสามารถไปได้ไกลกว่าบิทคอยน์มาก
ข้อดีอย่างหนึ่งที่อีเธอเรียมจะเป็นต่อมากกว่าบิทคอยน์ในอนาคตคือการใช้ “Proof of Stake”เป็นโปรโตคอลหลัก เพราะ PoS นั้นไม่ได้ทำลายสิ่งแวดล้อมอย่างที่ PoW ของบิทคอยน์ทำ ยิ่งทำให้อีเธอเรียมมีภาพลักษณ์ที่ดีในสายตาของผู้คนยุคปัจจุบันที่หันไปทางไหนก็มีแต่คนให้ความสำคัญกับสิ่งแวดล้อม ยิ่งถ้าได้อีลอน มักส์มาสนับสนุนอีก (ส่วนตัวแล้วผมเชื่อว่าเขาจะมา) จะยิ่งทำให้มูลค่าของเหรียญอีเธอเรียมมีค่ามากขึ้น นโยบายของบริษัทเทสลาที่รักษ์โลกนั้นสอดคล้องกับ PoS และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตามอีเธอเรียมก็เหมือนกับสกุลเงินอื่นๆ ที่ยังต้องพิสูจน์ตัวเองต่อไป แต่ข้อดีอย่างหนึ่งของอีเธอเรียมคือไม่ต้องพิสูจน์ตัวเองเรื่องการใช้พลังงานสะอาดแล้ว เหลือเพียงเรื่องของกฎหมายและความปลอดภัยเท่านั้นที่ยังจะต้องผ่านความท้าทายของกระแสโลก จะเป็นอย่างไรหากรัฐบาลเป็นคนยื่นข้อเสนอขอเข้ามาควบคุมอีเธอเรียมเอง? หรือภาครัฐจะสามารถสร้างระบบการเงินที่เลียนแบบโมเดล DeFi? นี่คือช่วงเวลาที่น่าสนใจสำหรับโลกการเงินเป็นอย่างมาก
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
ในบทความนี้เราจะพาไปดูสามสาเหตุว่าทำไมโลกของสกุลเงินดิจิทัลหลังจากที่ 21 ล้านเหรียญของบิทคอยน์หมดลง จะต้องเป็นยุคของอีเธอเรียมอย่างไม่ต้องสงสัย
Metaverse กลายเป็นคำศัพท์ที่ฮิตมากหลังจากที่ Facebook ปล่อยข่าวว่าตัวเองจะรีแบรนด์ มุ่งเน้นสร้างโลกเสมือนจริง ซึ่งการที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในโลกเสมือนได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ชื่อของ Ethereum กลายมาผู้ท้าชิงในการเป็นผู้นำสกุลเงินดิจิทัลที่จะใช้ในโลก Metaverse
Ki Young Ju ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ออนไลน์ CryptoQuant เชื่อว่า Ethereum (ETH) จะมี performance ที่ดีกว่า Bitcoin (BTC) ในระยะยาว
ราคา Ethereum (ETH) ยังคงพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 หลังจากการดีดตัวขึ้นจากระดับ $1,300
Octa
Pepperstone
OANDA
FXTM
VT Markets
Tickmill
Octa
Pepperstone
OANDA
FXTM
VT Markets
Tickmill
Octa
Pepperstone
OANDA
FXTM
VT Markets
Tickmill
Octa
Pepperstone
OANDA
FXTM
VT Markets
Tickmill