简体中文
繁體中文
English
Pусский
日本語
ภาษาไทย
Tiếng Việt
Bahasa Indonesia
Español
हिन्दी
Filippiiniläinen
Français
Deutsch
Português
Türkçe
한국어
العربية
บทคัดย่อ:ในบทความนี้เราจะพาไปดูสามสาเหตุว่าทำไมโลกของสกุลเงินดิจิทัลหลังจากที่ 21 ล้านเหรียญของบิทคอยน์หมดลง จะต้องเป็นยุคของอีเธอเรียมอย่างไม่ต้องสงสัย
ตลอดช่วงชีวิตการทำงานในฐานะนักลงทุนมาตลอด 40 ปี ผมต้องยอมรับว่าไม่เคยเห็นตลาดลงทุนไหนที่ขึ้นเร็วและลงแรงอย่างเช่นตลาดสกุลเงินดิจิทัลมาก่อน คงไม่มีตลาดแห่งไหนในโลกอีกแล้วที่ใช้เวลาเพียง 12 ปี สามารถทำให้สกุลเงินหนึ่งมีมูลค่าเพิ่มขึ้นจากเพียงไม่กี่เซนต์กลายเป็น $60,000 ได้
ไม่ว่าคุณจะมีความคิดเห็นอย่างไรกับตลาดสกุลเงินดิจิทัล แต่ในยุคนี้ คุณจำเป็นจะต้องยอมรับว่ามีคนที่พร้อมที่จะกระโดดขึ้นรถไฟเหาะตีลังกาขบวนนี้ ไม่ว่าจะหวาดเสียวแค่ไหน พวกเขาก็พร้อมที่จะเสี่ยง ถึงแม้ว่าบางโค้งอาจจะเป็นโค้งที่อันตรายเกินกว่าคุณจะรับได้ก็ตาม แต่สำหรับพวกเขาเหล่านั้นแล้ว สกุลเงินดิจิทัลเปรียบเสมือนโลกแห่งโอกาสของนักลงทุน และผู้ที่ชื่นชอบการเก็งกำไร
ในโลกที่เต็มไปด้วยสกุลเงินดิจิทัลมากกว่า 15,550 สกุลเงินนั้นมีความเสี่ยงอยู่มากมาย ชนิดที่ว่าได้เงินมาเช้านี้ เงินทั้งหมดนั้นหากเอามาลงทุนคริปโตฯ อาจจะหายไปหมดเลยก็ได้ นั่นจึงทำให้มีสกุลเงินดิจิทัลเพียงไม่ถึง 10% เท่านั้นที่มีมูลค่าหลักทรัพย์มากกว่า $100 ล้านเหรียญสหรัฐ ในบรรดาสกุลเงินเหล่านั้นมีสกุลเงินที่ใหญ่ที่สุดอยู่คือบิทคอยน์และอีเธอเรียม ถึงกระนั้นทั้งสองสกุลเงินก็มีจุดประสงค์ในการเกิดมาที่ต่างกันโดยสิ้นเชิง ในบทความนี้เราจะพาไปดูสามสาเหตุว่าทำไมโลกของสกุลเงินดิจิทัลหลังจากที่ 21 ล้านเหรียญของบิทคอยน์หมดลง จะต้องเป็นยุคของอีเธอเรียมอย่างไม่ต้องสงสัย
ภาพรวมของบิทคอยน์และอีเธอเรียมในปัจจุบัน
ในวันที่ 10 พฤศจิกายน ทั้งบิทคอยน์และอีเธอเรียมสามารถสร้างจุดสูงสุดใหม่ตลอดกาลได้ทั้งคู่
Bitcoin Futures Weekly
ที่มา: CQG
กราฟรายสัปดาห์รูปนี้แสดงช่วงเวลาที่กราฟ บิทคอยน์ล่วงหน้าขึ้นไปสร้างจุดสูงสุดที่ $69,355
Bitcoin Futures Daily
ที่มา: CQG
นี่เป็นกราฟรายวันของบิทตคอยน์ที่แสดงการเริ่มกลับตัวเป็นขาลงมาตั้งแต่วันที่ 10 พฤศจิกายน หลังจากสร้างจุดสูงสุดตลอดกาลไป วันถัดมาบิทคอยน์ก็ได้มีราคาปิดต่ำกว่าจุดต่ำสุดของวันก่อนหน้า และนั่นคือจุดเริ่มต้นของขาลง 32.7% ทำให้บิทคอยน์สร้างจุดต่ำสุดในวันที่ 13 ธันวาคมเอาไว้ที่ $46,650
Ethereum Futures Weekly
ที่มา: CQG
รูปนี้คือกราฟรายสัปดาห์ของอีเธอเรียมล่วงหน้าที่แสดงจุดสูงสุดตลอดกาลที่ $4,902.75 ที่เกิดขึ้นในวันที่ 10 พฤศจิกายน
Ethereum Futures Daily
ที่มา: CQG
กราฟรายวันรูปนี้ของอีเธอเรียมแสดงให้เห็นช่วงเวลาที่เริ่มเปลี่ยนเทรนด์เป็นขาลงในวันที่ 10 พฤศจิกายน จากจุดเริ่มต้นในวันนั้นได้ส่งอีเธอเรียมลงมายังจุดต่ำสุดที่ $3,749.50 ในวันที่ 13 ธันวาคม คิดเป็นการปรับตัวลดลงมาทั้งหมด 23.5% ถึงแม้ว่าขาลงของอีเธอเรียมจะไม่ชัดเจนเท่าบิทคอยน์ แต่จุดนี้ก็เป็นจุดที่แสดงให้เห็นว่ามีคนรอช้อนซื้ออีเธอเรียมอยู่ตลอดแม้จะลงมาไม่มากก็ตาม
ปี 2021 คือปีทองของอีเธอเรียม หาใช่บิทคอยน์ไม่
ก่อนอื่นต้องขอชมว่าถึงแม้ว่าสัปดาห์ที่แล้วตลาดสกุลเงินดิจิทัลจะปรับตัวลดลงอย่างหนัก แต่บิทคอยน์และอีเธอเรียมในปีนี้ก็ยังสามารถปรับตัวขึ้นได้เป็นอย่างดี
BTC/USD Monthly
ทีมา: Barchart
กราฟด้านบนนี้คือกราฟเปรียบเทียบมูลค่าระหว่างสกุลเงินบิทคอยน์และดอลลาร์สหรัฐ ที่จบปี 2020 ด้วยจุดสูงสุดใหม่ ณ $28,986.74 จากวันนั้นจนถึงวันที่ 13 ธันวาคม ที่บิทคอยน์มูลค่า $47,367.01 คิดเป็นการปรับตัวขึ้นมาแล้วทั้งหมด 63.4%
ETHUSD Monthly
ที่มา: Barchart
เทียบกันกับอีเธอเรียมที่มีจุดปิดในปี 2020 อยู่ที่ $738.912 มาจนถึงวันที่ 13 ธันวาคมที่ $3,820.425 มูลค่าของสกุลเงินดิจิทัลอีเธอเรียมเพิ่มขึ้นมากกว่าห้าเท่า
จากข้อมูลทางสถิตินี้ทำให้เราเห็นได้ว่าปีนี้ต้องยกให้เป็นปีทองของอีเธอเรียมจริงๆ แล้วทำไมทั้งๆ ที่อีเธอเรียมก็ได้รับผลกระทบทั้งเชิงบวกและลบไม่ต่างจากบิทคอยน์ แต่กลับมีมูลค่าเพิ่มขึ้นได้มากกว่าบิทคอยน์หลายเท่าตัว ในบทความนี้เราจะพาไปดูกันว่าความแตกต่างสามข้อระหว่างบิทคอยน์และอีเธอเรียมที่ทำให้อีเธอเรียมโดดเด่นกว่านั้นมีอะไรบ้าง
เหตุผลประการที่ 1: จุดประสงค์ที่เกิดมาต่างกัน
เป็นความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้เลยว่าบิทคอยน์คือพ่อของทุกสถาบันคริปโตจริงๆ ถ้าหากไม่มีบิทคอยน์และบล็อกเชนที่สร้างจากมือซาโตชิ นากาโมโต้ในปี 2009 เราคงไม่มีวันได้เห็นความเป็นไปได้ที่จะเกิดเมต้าเวิร์สในวันนี้ แต่เมื่อมองย้อนกลับไปในปี 2009 คนสร้างบิทคอยน์ยังคิดสร้างบิทคอยน์ออกมาเป็นเพียงตัวกลางการแลกเปลี่ยนแบบกระจายศูนย์เท่านั้น ในขณะที่อีเธอเรียมเกิดมาเพื่อเป็นบ้านให้กับสกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ
อีเธอร์เป็นสกุลเงินที่ถูกใช้อยู่บนบล็อกเชนของอีเธอเรียม ในขณะที่บิทคอยน์ยังคงทำหน้าที่เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยน (อันที่จริงต้องกลายเป็นที่เก็บสะสมมูลค่าไปแล้ว) แต่อีเธอเรียมกลับเติบโตในฐานะพื้นที่สร้างสรรค์ของสกุลเงินดิจิทัลมากมาย มีสกุลเงินดิจิทัลชื่อดังในยุคนี้ไม่น้อยที่ดำเนินการอยู่บนบล็อกเชนของอีเธอเรียม ที่สำคัญการแลกเปลี่ยนเหรียญบนบล็อกเชนของอีเธอเรียมยังทำได้เร็วกว่าบิทคอยน์อีกด้วย
เหตุผลประการที่ 2: การใช้พลังงานในการขุดเหรียญ
การใช้คอมพิวเตอร์เพื่อประมวลโจทย์ทางคณิตศาสตร์และให้ได้มาซึ่งเหรียญดิจิทัล หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า “การขุดเหมือง” นั้นเป็นกลไกสำคัญของระบบนิเวศน์ในสกุลเงินดิจิทัล ทุกคนต่างทราบดีว่ากระบวนการนี้ใช้พลังงานไฟฟ้าที่ค่อนข้างสูง ในปัจจุบันว่ากันว่าเหมืองบิทคอยน์ทั้งโลกรวมกันสามารถแทนกำลังไฟฟ้าของประเทศเล็กๆ บางแห่งในโลกได้แล้ว
โมเดลในการได้มาซึ่งสกุลเงินดิจิทัลของบิทคอยน์และอีเธอเรียมนั้นไม่เหมือนกัน บิทคอยน์ใช้สิ่งที่เรียกว่า “Proof of Work (PoW) ” ในการได้มาซึ่งเหรียญบิทคอยน์ นั่นคือการเอาคอมพิวเตอร์มาแข่งกันคำนวณโจทย์คณิตศาสตร์ นั่นจึงเป็นที่มาว่าทำไมยิ่งประมวลผลแรง ก็ยิ่งมีโอกาสได้เหรียญเร็ว ต่างกันกับอีเธอเรียมที่ใช้ “Proof of Stake (PoS)” ในการได้มาซึ่งเหรียญอีเธอร์ PoS คือ ระบบ Algorithm ที่เปิดให้คนเข้ามาช่วยไขรหัสตรวจสอบธุรกรรม แต่จะไม่ใช่การแข่งขันให้ทุกคนได้เข้ามาตรวจอย่าง PoW เพราะผู้ตรวจสอบแบบ PoS จะต้องวางเงินดิจิทัลบางส่วนไว้เป็นประกัน จึงจะได้สิทธิในการตรวจสอบและยืนยันธุรกรรม
ที่สำคัญ เมื่อนำคอมพิวเตอร์ที่มีการประมวลผลสูงมาลองขุดทั้งบิทคอยน์และอีเธอเรียม เราพบว่ากำลังไฟฟ้าที่ใช้ในการขุดบิทคอยน์มีสูงถึง 707 kWh ในขณะที่อีเธอเรียมมี 62.56 kWh เท่านั้น
เหตุผลประการที่ 3: บิทคอยน์ไม่มีลูกมีหลาน แต่อีเธอเรียมมีการต่อยอดมากมาย
ถึงแม้ว่าบิทคอยน์จะเป็นผู้เริ่มต้นทุกสิ่ง และปัจจุบันก็ยังมีมูลค่าหลักทรัพย์มากกว่าอีเธอเรียม ($900,000 ล้านเหรียญเทียบกับ $456,000 ล้านเหรียญ) แต่ในปี 2021 หากวัดในเชิงของการเติบโตแล้ว มูลค่าการเติบโตของอีเธอเรียมถือว่าสูงกว่าบิทคอยน์แล้ว
นอกจากนี้สกุลเงินดิจิทัลอื่นๆ ที่มีชื่อเสียงในทุกวันนี้ต่างก็มีปฏสัมพันธ์อันดีและเห็นอีเธอเรียมเป็นต้นแบบไม่ว่าจะเป็น Litecoin (LTC), Cardano (ADA), Polkadot (DOT), Bitcoin Cash (BCH), Stellar (XLM), Dogecoin (DOGE), Binance Coin (BNB)
ด้วยการเติบโตของวงการสกุลเงินดิจิทัลที่ปัจจุบันไม่ได้มีแค่เป็นตัวกลางการแลกเปลี่ยนอีกต่อไปแล้ว ประกอบกับอัลกอริทึ่มในการได้มาซึ่งเหรียญอีเธอที่เร็วกว่า ประหยัดกว่า และมีโอกาสพัฒนาได้ง่ายกว่าบิทคอยน์ ผมจึงเชื่อว่าในอนาคตอีเธอเรียมจะต้องก้าวขึ้นมายิ่งใหญ่ไม่ต่างจากบิทคอยน์ในวันนี้ได้อย่างแน่นอน
ข้อจำกัดความรับผิดชอบ:
มุมมองในบทความนี้แสดงถึงมุมมองส่วนตัวของผู้เขียนเท่านั้นและไม่ถือเป็นคำแนะนำในการลงทุน สำหรับแพลตฟอร์มนี้ไม่รับประกันความถูกต้องครบถ้วนและทันเวลาของข้อมูลบทความ และไม่รับผิดชอบต่อการสูญเสียใด ๆ ที่เกิดจากการใช้ข้อมูลในบทความ
Metaverse กลายเป็นคำศัพท์ที่ฮิตมากหลังจากที่ Facebook ปล่อยข่าวว่าตัวเองจะรีแบรนด์ มุ่งเน้นสร้างโลกเสมือนจริง ซึ่งการที่จะเข้าไปใช้ชีวิตในโลกเสมือนได้อย่างสมบูรณ์ และทำให้ชื่อของ Ethereum กลายมาผู้ท้าชิงในการเป็นผู้นำสกุลเงินดิจิทัลที่จะใช้ในโลก Metaverse
Ki Young Ju ซีอีโอของบริษัทวิเคราะห์ออนไลน์ CryptoQuant เชื่อว่า Ethereum (ETH) จะมี performance ที่ดีกว่า Bitcoin (BTC) ในระยะยาว
กว่าอีเธอเรียมจะเติบโตในเชิงของมูลค่าตลาดขึ้นมาเทียบเท่าบิทคอยน์ได้ ยังต้องใช้เวลา แต่หากมองในเชิงของความคิดสร้างสรรค์หรือการต่อยอด ตอนนี้ต้องยอมรับว่าอีเธอเรียมถือเป็นเหรียญที่น่าจับตามองเป็นอย่างมาก
ราคา Ethereum (ETH) ยังคงพุ่งขึ้นติดต่อกันเป็นวันที่ 4 หลังจากการดีดตัวขึ้นจากระดับ $1,300
VT Markets
Pepperstone
ATFX
Tickmill
EC Markets
STARTRADER
VT Markets
Pepperstone
ATFX
Tickmill
EC Markets
STARTRADER
VT Markets
Pepperstone
ATFX
Tickmill
EC Markets
STARTRADER
VT Markets
Pepperstone
ATFX
Tickmill
EC Markets
STARTRADER